‘Kakeibo’ วิธีออมเงินที่ทำง่ายได้ผลจริงแบบคนญี่ปุ่น

Kakeibo (คะเคโบะ) มาจากภาษาญี่ปุ่นแปลว่า สมุดบัญชีครัวเรือน ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในปี 1904 โดยคุณฮานิ โมโตะโกะ นักหนังสือพิมพ์หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ที่ต้องการหาวิธีการออมเงินและจัดการงบประมาณรายรับรายจ่ายให้ครอบครัวได้ดียิ่งขึ้น แนวคิดสำคัญของ ตะเตโบะ คือการชี้ให้เห็นถึงรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยและตัดรายจ่ายตรงส่วนนี้ออกไป

วิธีเก็บเงินแบบ ‘Kakeibo’

หลักการของ Kakeibo ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความพยายามในช่วงแรก เริ่มต้นด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่ายแบบรายวัน และรายสัปดาห์ หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้แอปพลิเคชันจัดการแทนก็ได้ โดยให้แบ่งการบันทึกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น (ค่าเดินทาง, ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำค่าไฟ, ค่าอาหาร) รายจ่ายเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และรายจ่ายพิเศษอื่นๆ เป็นต้น ยิ่งบันทึกรายรับรายจ่ายละเอียดก็จะช่วยให้คำนวนเงินคงเหลือสิ้นเดือนได้ดี ยกตัวอย่างเช่น การซื้อกินขนมจุกจิกช่วงระหว่างทำงานในแต่ละวันหากนำมารวมกันแล้วก็คงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ พวกนี้ก็สามารถบันทึกลง Kakeibo ได้ด้วยเหมือนกัน

ปรัชญาของ ‘Kakeibo’  

สิ่งสำคัญตามปรัชญาของ Kakeibo คือต้องตอบคำถามแต่ละข้อก่อนซื้อของทุกครั้ง โดยแต่ละคำถามจะให้เราได้พูดคุยกับตัวเองทุกครั้งก่อนซื้อสินค้าหรือบริการว่า เราซื้อสิ่งนี้เพราะจำเป็น หรือซื้อเพียงเพราะอยากได้   ซึ่งจะมีชุดคำถามดังนี้

เห็นได้ว่า การออมเงินแบบ Kakeibo ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหลายชั้น จากเดิมที่เห็นของชิ้นนี้แล้วอาจจะหยิบไปจ่ายตังในทันที ก็จะทำให้เราฉุกคิดการใช้จ่ายแต่ละครั้ง และถึงแม้ว่าจะช่วยให้เราออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องตัดความสุขในการใช้จ่ายออกไปทั้งหมด อะไรที่ชอบ และอยากซื้อเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง ก็ยังสามารถทำได้ เพียงแต่ให้คิดก่อนซื้อ และไม่ตามใจตัวเองมากเกินไป

8 ทริคง่าย ๆ เพื่อเริ่มต้นการออม

  1. บันทึกค่าใช้จ่ายของคุณ
    - ในขั้นตอนแรกของการเริ่มต้นการออมคือ การตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดพร้อมจัดหมวดหมู่ของค่าใช้จ่าย
  2. เพิ่มการออมเงินเข้าไปในค่าใช้จ่าย
    - เมื่อทราบค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะทราบว่ารายจ่ายสมดุลกับรายได้หรือไม่ เพื่อวางแผนการใช้จ่ายและกำจัดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นด้วย เช่น ค่าบำรุงรักษารถยนต์ ค่าประกัน เป็นต้น รวมการออมไว้ในส่วนของรายจ่ายและตั้งเป้าที่จะออมในจำนวนที่รู้สึกสบายใจในตอนเริ่มต้น และวางแผนที่จะเพิ่มเงินออมให้ได้ถึง 15% - 20% ของรายได้
  3. หาวิธีลดค่าใช้จ่าย
    - หากไม่สามารถออมได้เท่าที่ต้องการ ต้องตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็น
  4. ตั้งเป้าหมายการออม
    - อีกหนึ่งทริคที่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการออมของคุณคือ การตั้งเป้าหมายว่าต้องการออมเงินเพื่ออะไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
  5. ลำดับความสำคัญทางการเงิน
    - ควรลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่าย เพื่อเลือกจ่ายอย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากคุณวางแผนที่จะเปลี่ยนรถในอนาคตอันใกล้ คุณอาจเริ่มออมเงินเพื่อซื้อรถตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ต้องไม่ลืมเป้าหมายการออมเงินในระยะด้วย ซึ่งก็คือการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ
  6. เลือกเครื่องมือที่ช่วยออม
    - มีผลิตภัณฑ์เพื่อการออมและการลงทุนมากมายที่เหมาะสมกับการตั้งเป้าหมายการออม โดยไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงอันเดียว ทั้งนี้ ต้องพิจารณายอดเงินขั้นต่ำ ค่าธรรมเนียม อัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยง และสภาพคล่อง เพื่อให้สามารถเลือกเครื่องมือที่จะช่วยให้ประหยัดเงินได้ดีที่สุดตามเป้าหมาย
  7. ทำการออมให้เป็นอัตโนมัติ
    -หลาย ๆ ธนาคารเสนอให้มีการออมเงินแบบอัตโนมัติ โดยสามารถเลือกเวลาออมและจำนวนเงินออม ให้เข้าบัญชีออมทรัพย์ได้โดยตรง
  8. ตรวจการเติบโตของเงินออม
    - ตรวจสอบการเงินและความคืบหน้าการออมทุกเดือน หากพบเจอปัญหาในการออมจะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการออมของคุณได้เร็วขึ้น

เทคนิคลดค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มเงินออม

  1. ยกเลิกบริการที่เป็นสมาชิก (Subscription) ที่ไม่จำเป็นแอปพลิเคชัน เช่น Netflix VIU HBO และ Disney+ จำเป็นต้องมีการจ่ายค่าสมัครสมาชิกเพื่อรับชมรายการ ดังนั้น การรอให้รายการที่เราต้องการรับชมเผยแพร่ครบทุกตอนแล้วจึงสมัครสมาชิก ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
  2. ลดค่าใช้จ่ายด้านอาหารการทำอาหารกินเองที่บ้านช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า เพราะมีเพียงแค่ค่าวัตถุดิบกับเครื่องปรุง ไม่ต้องบวกกำไร ภาษีรวมไปถึงค่าบริการ นอกจากนี้ยังมั่นใจได้ว่าอาหารที่รับประทาน สะอาด และถูกหลักอนามัย
  3. มองหาส่วนลดหรือโปรโมชัน
    การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน และยังมีการจัดโปรโมชันและมอบส่วนลดเพื่อส่งเสริมการขายอยู่เป็นระยะ ๆ ดังนั้นการรอซื้อสินค้าในช่วงโปรโมชันสามารถช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น
  4. จัดการกับหนี้
    การบริการจัดการหนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้เร็วขึ้น โดยเริ่มจากการชำระหนี้ก้อนที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เพราะเมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายก็ลดลงตามไปด้วย
  5. วางแผนการเดินทาง
    การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแทนรถส่วนตัวสามารถช่วยให้คุณลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ นอกจากนี้ การวางแผนเพื่อการท่องเที่ยวหรือเดินทางไกล หากคุณจองตั๋วล่วงหน้าซัก 3 เดือน ก็สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้

การจัดสรรความเสี่ยง

การจัดสรรความเสี่ยง

พีระมิดการลงทุน (Investment Risk Pyramid) คือ กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ โดยให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ เงินสด และพันธบัตรรัฐบาล เป็นฐานของพีระมิดเนื่องจากฐานของพีระมิดควรที่จะมั่นคงที่สุดและมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับส่วนอื่น ตรงกลางของพีระมิดแสดงถึงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ หุ้นกู้ กองทุน รวมไปถึงหุ้นกลุ่มบลูชิพ ที่ยังสามารถให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ในส่วนฐานพีระมิด แต่ก็ยังถือว่ามีความปลอดภัยในระดับนึง ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความสี่ยงที่สูงกว่า ได้แก่ อนุพันธ์ และหุ้น ให้เป็นยอดของพีระมิด เนื่องจากเป็นพื้นที่เล็กที่สุด ทั้งนี้ เงินที่นำมาลงทุนในส่วนยอดของพีระมิดควรเป็นเงินที่สามารถจะสูญเสียได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา

ตัวอย่างความเสี่ยงและผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ

  1. เงินฝากธนาคาร มีความปลอดภัยสูง เนื่องจำเป็นการเอาเงินไปฝากที่ธนาคาร โดยธนาคารจะนำเงินฝากของเราไปลงทุนต่อและให้ผลตอบแทนกลับคืนมาในรูปแบบของดอกเบี้ยเงินฝาก
  2. พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ มีความเสี่ยงสูงกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารเล็กน้อยจากราคาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย แต่พันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหะกิจมีโอกาสผิดนัดจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นน้อย
  3. หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ระดมทุนสำหรับใช้ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ แม้จะได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าพันธะบัตรรัฐบาล แต่ก็มีความเสี่ยงในการผิดนัดจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นสูงกว่าพันธะบัตรรัฐบาล
  4. กองทุนรวม มีความเสี่ยงอยู่หลายระดับขึ้นกับว่ากองทุนนั้นนำเงินไปลุงทนในสินทรัพย์อะไร
  5. หุ้น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงแต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน เนื่องจากการลงทุนในหุ้นคือการนำเงินไปลงทุนในกิจการเพื่อร่วมเป็นเจ้าของบริษัทนั้น ๆ (ต่างจากการลงทุนในหุ้นกู้ ซึ่งเราจะมีสถานะเป็น เจ้าหนี้ ของบริษัทนั้น ๆ ) เมื่อบริษัทที่เราถือหุ้นมีกำไรมากส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนมากตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากบริษัทขาดทุนหรือล้มละลาย ผู้ถือหุ้นก็ต้องร่วมรับผิดชอบกับการสูญเสียนี้เช่นเดียวกัน
  6. อนุพันธ์ มีความเสี่ยงที่สูงมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด แต่ก็มีโอกาสทำกำไรได้สูงมากเช่นเดียวกัน

ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับผลตอบแทนของการลงทุน คือ ระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนเต็มใจและสามารถยอมรับได้ เพื่อนำไปสู่การจัดสรรเงินลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเองมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ผู้ลงทุนที่อายุน้อย แม้จะสามารถรับความเสี่ยงที่สูงได้เพราะยังมีเวลาในการออมและการลงทุนอีกมาก แต่หากไม่สามารถยอมรับผลตอบแทนที่ติดลบได้ในบางปี ก็ควรลงทุนเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ แต่หากสามารถยอมรับกับผลตอบแทนที่ติดลบได้ ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นเพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว เป็นต้น

3 พลังมหัศจรรย์สร้างเงินออมก้อนโต

การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต การออมเงินต้องมีการวางแผนและความมุ่งมั่ง โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ เงินต้น, ระยะเวลา, และอัตราผลตอบแทน

  1. เงินต้น
    เงินต้นคือจำนวนเงินที่เราตั้งใจจะออมในแต่ละงวด ยิ่งเราสามารถออมเงินได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างโอกาสให้เรามีเงินออมในอนาคตได้มากขึ้น เงินต้นที่มากจะช่วยให้เราสามารถรับผลตอบแทนที่มากขึ้นในอนาคต
  2. ระยะเวลา
    ระยะเวลาในการออมเงินก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ การออมเงินในระยะเวลาที่ยาวนานจะช่วยให้เราสามารถสร้างความมั่งคั่งและความปลอดภัยทางการเงินได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถรับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว
  3. อัตราผลตอบแทน
    อัตราผลตอบแทนคืออัตราเฉลี่ยที่เราได้รับจากการออมเงินในแต่ละงวด การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนที่ดีจะช่วยให้เงินออมของเราเติบโตในระยะยาว ทั้งนี้ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จะมีความเสี่ยงที่ต้องแบบรับสูงเช่นเดียวกัน

ดังนั้นการวางแผนออมเงินในระยะยาวอย่างเป็นระบบโดยคำนึงถึงเงินต้น ระยะเวลา และอัตราผลตอบแทน สามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อชีวิตที่อิสระและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตในอนาคตได้

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ “เงินเฟ้อ”

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ “เงินเฟ้อ”

เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการ "ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง" ส่งผลให้เงินจำนวนเดิมในมือของเรามีค่าลดน้อยลง หรือเราต้องใช้เงินจำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ในปริมาณที่เท่าเดิม กล่าวง่าย ๆ คือ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเราสามารถซื้อข้าวกะเพราไก่และไข่ดาวได้ในราคา 50 บาท แต่ในปัจจุบันเงิน 50 บาทสามารถซื้อได้เพียงข้าวกะเพราไก่อย่างเดียว โดยไข่ดาวได้หายไปกับการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อเกิดขึ้นมาจาก 2 สาเหตุหลักได้แก่

  1. ความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีมากขึ้น ทำให้สินค้าและบริการไม่เพียงพอ "ผู้ขายจึงถือโอกาสขึ้นราคา"
  2. ผลผลิตขาดแคลนจากปัญหาด้านการผลิต เช่น โรคระบาดทำให้หมูตาย หรือ "ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น" ผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนที่มากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องขึ้นราคาสินค้าและบริการ

4 วิธีจัดการเงินฉบับคน Gen Y

4 วิธีจัดการเงินฉบับคน Gen Y

คน Generation  Y  คือคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2537 มีเอกลักษณ์ในการรักอิสระและมีความเป็นตัวเองสูง ไม่ยึดติดกับกรอบและค่านิยมเดิม ๆ โดยคนกลุ่มนี้เกิดและโตท่ามกลางเทคโนโลยีและสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้มีวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ คน Gen Y มักจะใช้จ่ายเงินในสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว อาหาร เครื่องดื่มราคาสูง หรือสินค้าฟุ้มเฟือย พวกเขามีความกล้าในการตัดสินใจและกล้าได้กล้าเสีย ในทางกลับกัน พวกเขาก็อาจมีปัญหาในการจัดการเรื่องการเงินและหนี้สิน เนื่องจากมีความต้องการในการใช้จ่ายเพื่อความสุขและความพอใจของตนเองเป็นหลัก

  1. ควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ด้วยการทำบันทึกรายรับ - รายจ่ายบนแอพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจลักษณะการใช้จ่ายของตนเอง และสามารถปรับการใช้จ่ายให้เกิดการออมเพิ่มขึ้นได้
  2. วางแผนในการจัดการหนี้สินในแต่ละเดือนให้หมดตั้งแต่วันที่เงินเดือนออก ทั้งค่าที่พัก ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่างวดรถ ค่าหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพทางเงินที่ดี การผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนไม่ควรเกิน 40 % ของรายได้
  3. "วางแผนเงินออม" เพื่อเป็นการนำเงินที่เหลือไปใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ ซึ่งการตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้เกิดแรงจูงใจในการออมเพิ่มมากขึ้น โดยเราควรออมเงินอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนอย่างน้อย 10% ของรายได้ และมุมมองทางการเงินของคน Gen Y ที่กล้าได้กล้าเสีย และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง จึงเหมาะที่จะลองผิดลองถูกในเรื่องการลงทุน โดยสามารถนำเงินออมส่วนใหญ่ 70-80% ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น เพื่อผลตอบแทนที่สูงและงอกเงย แต่ก็ควรกันเงินราว 20-30% ของเงินออม เก็บไว้ในรูปแบบที่มีความปลอดภัย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้นกู้ เพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย
  4. การวางแผนภาษี จะทำให้เรารู้ว่าการลงทุนใดสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้บ้างซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนไปในตัว นอกจากนี้ เมื่อภาระทางภาษีลดลงก็จะทำให้ผู้เสียภาษีมีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถนำเงินส่วนนี้ไปลุงทุนเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเงินได้

ข้อมูลเครดิตสำคัญอย่างไร

ข้อมูลเครดิตสำคัญอย่างไร?

เครดิตบูโร หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูลบัญชีสินเชื่อและประวัติการชำระสินเชื่อทุกประเภทของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล​ซึ่งส่งมาจากสถ​าบันการเงินและบริษัทที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร โดยข้อมูลเครดิตที่จัดเก็บหรือรายงานในเครดิตบูโรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  1. ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงตัวตนลูกค้า เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด สถานภาพการสมรส อาชีพ เลขที่บัตรประชาชน และกรณีที่เป็นนิติบุคคลจะเป็น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนนิติบุคคล เป็นต้น
  2. ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติและประวัติการชำระสินเชื่อ โดยจำแนกเป็นรายบัญชีที่มีอยู่ในแต่ละสถาบันการเงินและบริษัทสมาชิก ตัวอย่างเช่น 1. สรุปข้อมูลบัญชีสินเชื่อ ประกอบไปด้วยข้อมูลของประเภทและเลขที่บัญชีของสิเชื่อ ชื่อผู้ให้สินเชื่อ วงเงินที่ได้รับอนุมัติ และวงเงินที่ใช้ไป 2. สถานะของบัญชี เช่น ปกติ ปิดบัญชี พักชำระหนี้ ค้างชำระหนี้ เป็นต้น 3. รายระเอียดการชำระหนี้ ซึ่งจะแสดงประวัติการชำระหนี้ผ่านมา ทั้งที่ชำระตรงเวลา ชำระล่าช้า หรือผิดนัดชำระ 4. ข้อมูลอื่นๆ เช่น วันที่เปิดบัญชี วันที่ชำระหนี้ล่าสุด วันที่ปิดบัญชี วันที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น

เครดิตบูโรเปรียบเสมือนเป็นถังข้อมูลที่บ่งบอกพฤติกรรมในเรื่องการก่อหนี้ และการชำระหนี้ที่ใหญ่ที่สุดของระบบการเงินไทย โดยมีความเกี่ยวข้องด้วยกัน 3 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่

1. ระบบเศรษฐกิจไทย

2. สถาบันการเงินในฐานะผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้

3. ผู้กู้หรือลูกหนี้

ที่มา

  1. K, S. (2023, February 13). ความสำคัญของเครดิตบูโร มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ในโพสต์เดียว. บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ - National Credit Bureau. https://www.ncb.co.th/ncb-infographic/credit-bureau-importance-economy-2/
  2. เครดิตบูโร. ธนาคารแห่งประเทศไทย. (n.d.). https://www.bot.or.th/th/satang-story/managing-debt/creditbureau.html

6 ทริคใช้เงินอย่างชาญฉลาด

6 ทริคใช้เงินอย่างชาญฉลาด

  1. วางแผนการเงินในระยะยาว จัดระเบียบการใช้เงินให้อยู่ในแผนที่วางไว้ ตัวอย่างเช่น กฎ 50/30/20 เป็นแนวคิดที่เหมาะกับคนทั่วไป โดยแบ่งรายได้ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น 30% สำหรับใช้จ่ายเพื่อสิ่งที่ต้องการ และ 20% สำหรับการออมและการลงทุน  
  2. บันทึกค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทำบันทึกรายรับรายจ่ายแล้วดูว่าการใช้จ่ายเป็นบวกหรือลบ ซึ่งในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันจำนวนมากที่ช่วยทำให้การบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
  3. ออมเงินเพื่อนำไปลงทุน โดยก่อนที่จะเริ่มนำเงินไปลงทุน เราต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุน และมีเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินได้ 3 ถึง 6 เดือน
  4. วางแผนการเงินเพื่อซื้อรถ อย่าคำนึงถึงเพียงแต่ค่างวดที่จะต้องจ่ายได้ในแต่ละเดือน แต่ให้คำนึงถึงค่าประกัน ค่าภาษี ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และค่าเสื่อมสภาพรวมเข้าไปด้วย ซึ่งรวมทั้งหมดไม่ควรเกินร้อยละ 20 ของรายได้ต่อเดือน
  5. วางแผนการเงินเพื่อซื้อบ้าน ค่าผ่อนบ้านไม่ควรผ่อนเกินร้อยละ 28 ของรายได้ต่อเดือน และไม่ควรให้ยอดชำระหนี้สินรวมต่อเดือนเกินร้อยละ 36 ของรายได้ต่อเดือน
  6. แผนการใช้เงินเพื่อลูกน้อย วางแผนค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ การคลอดบุตร ค่าอุปกรณ์สำหรับเด็กแรกเกิด ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูต่อเดือน ค่าเล่าเรียน รวมไปถึงประกันสุขภาพ เพื่อให้คุณและครอบครัวมีสุขภาพทางการเงินที่ดี

ที่มา

  1. Budgeting Basics - The 50 30 20 Rule : United Nations Federal Credit Union (unfcu.org) : 50-30-20 วิธีใช้เงิน ที่ดี ของผู้ชายทั่วไป กับ กฎ 65% สำหรับสายฮาร์ดคอร์ (mendetails.com)
  2. How Much Should You Be Saving for an Emergency? | Wells Fargo
  3. How Much Car Can I Afford? [Free Calculator] | The Zebra Resource Center
  4. How Much Mortgage Can I Afford? (investopedia.com)
  5. 6 เช็คลิสต์ เตรียมความพร้อมวางแผนการเงินสำหรับคนอยากมีลูก (krungsri.com)

10 เทคนิค ประหยัดเงิน เก็บไว้ออมดีกว่า

การออมเงิน เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่รู้ไหมว่าการออมเงินในปัจจุบันอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน เพราะในยุคที่ข้าวของแพงขึ้น และการมี Social Media ที่เข้าถึงได้ง่าย ยิ่งจูงใจให้เราสามารถซื้อของได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันได้คิดทบทวน วันนี้น้องเพนกวินได้รวบรวม 10 เทคนิคง่าย ๆ เพื่อช่วยประหยัดเงิน แล้วเก็บไว้ออมดีกว่ามาฝากกันครับ

1. เช็คความจำเป็นก่อนใช้จ่าย

ใช้เวลาในการทบทวนความจำเป็นก่อนใช้เงิน เพราะการมีเวลาในการคิดและตัดสินใจ จะทำให้เราสามารถหักห้ามใจในการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและมองเห็นความจำเป็นในการใช้จ่ายเงินมากยิ่งขึ้น

2. เดินห้างสรรพสินค้าให้น้อยลง

การออกไปห้างสรรพสินค้าเป็นการดึงดูดให้เราใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และมีความต้องการสินค้าบางอย่างที่ไม่จำเป็น ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่จะดึงดูดให้เราใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

3. เคลียร์หนี้สินให้หมด

เราควรเคลียร์หนี้ให้หมด เพื่อจะได้มีเงินเหลือไว้สำหรับการออม เพราะหากยังคงมีหนี้ในการวางแผนเงินออมในอนาคตจะมีการติดขัด

4. ทำรายรับ – รายจ่าย

การจดบันทึกรายรับ - รายจ่าย จะทำให้เรารับรู้ภาพรวมของค่าใช้จ่ายในทุกส่วน ซึ่งจะลดโอกาสในการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในแต่ละเดือน

5. ห้ามใช้แบงค์ 50

วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีและทำได้ทุกวัย เนื่องจาก แบงค์ 50 มีโอกาสได้ยาก จึงทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายรายวันอย่างแน่นอน

6. กำหนดเงินใช้เป็นรายวัน

หลังจากได้รับเงินเดือนมาแล้ว ควรมีการวางแผนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันว่าควรใช้จ่ายเท่าไร เพื่อป้องกันการใช้เงินเกินความจำเป็น

7. ลดการใช้บัตรเครดิต

บัตรเครดิตแม้จะทำให้เกิดความสะดวกและมีคะแนนสะสมให้ก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนทางการเงินที่ดี ก็ส่งผลให้เกิดเป็นหนี้ก้อนโตเช่นกัน

8. งดใช้เงินโบนัส

โบนัสที่ได้มาถือเป็นโอกาสของคนวัยทำงานในการมีเงินก้อนโตเก็บไว้ ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นเงินไว้ช่วยเหลือและใช้จ่ายได้ในอนาคต

9. เปิดบัญชีเงินฝากประจำ

บัญชีเงินฝากประจำทำให้เราไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากแบบปกติอีกด้วย

10. เก็บเงินก่อนใช้จ่าย

โดยเมื่อรับเงินเดือนมาแล้วก็ควรคำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็นก่อน จากนั้นกำหนดจำนวนเงินที่ต้องเก็บทันที

6 ความเสี่ยงของวัยเกษียณอายุ

"ความเสี่ยง" เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับชีวิตผู้คนมาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะอยู่ในบ้านเราก็ยังต้องมีความเสี่ยง เช่น ความเสี่ยงลื่มหกล้มในห้องน้ำ ความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร ความเสี่ยงจากไฟใหม้ หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงจากการตกบันได ซึ่งล้วนแต่นำความสูญเสียและสร้างความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินโดยไม่คาดคิด เช่นเดียวกับชีวิตหลังเกษียณ ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่อาจยาวนานถึง 1 ใน 3 ของชีวิตหรือมากกว่า และอาจเผชิญกับภัยคุกคามที่ส่งผลให้การดำเนินชีวิตหลังเกษียณไม่มีความสุขและไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งหากรู้ล่วงหน้าได้ก่อนว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่นำไปสู่ความเสียหายในอนาคต ก็สามารถหาทางลดความเสี่ยงหรือป้องกันได้ ทำให้ไม่เกิดความสูญเสียต่อร่างกาย ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจ

ทั้งนี้ แอดมินได้รวบรวมความเสี่ยงของวัยเกษียณอายุไว้ 6 ประเด็น มีรายละเอียด ดังนี้

  1. ความเสี่ยงอายุยืนยาว: อนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ดังนั้น ในการใช้ชีวิตจำเป็นต้องวางแผนทางการเงินให้มีสำหรับใช้จ่ายในอนาคตอย่างเพียงพอ
  2. ความเสี่ยงการโดนออกจากงานก่อนวัยเกษียณ: การที่โดนออกจากงานก่อนวัย เช่น ให้ออกจากกงานในวัย 50 ทั้งที่ตามแผนคือายุ 60 ปี ดังนั้น การที่เกษียณก่อนวัยทำให้เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้นในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
  3. ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อในอนาคต: เงินเฟ้อจะส่งผลให้มูลค่าเงินในอนาคตลดน้อยลง เช่น เงิน 1 ล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเท่ากับ 7 แสนกว่าบาทในปัจจุบัน ดังนั้น การฝากผ่าน Bank อย่างเดียว จะได้ดอกเบี้ยน้อยและมูลค่าเงินเราลดลง
  4. ความเสี่ยงในการลงทุน: การลงทุนทั้งหลัง-ก่อนเกษียณล้วนมีความสำคัญ โดยก่อนเกษียณเราจะลงทุนเชิงรุก แต่หลังเกษียณจะเน้นเชิงรับ เนื่องจากกันพลาด เพราะตอนนั้นเราไม่มีรายได้มาทดแทน ดังนั้นหากหลังเกษียณการเงินมีปัญหาเราจะใช้จ่ายได้น้อยลง
  5. ความเสี่ยงในการดำเนินชีวิต: การใช้ชีวิตหลังเกษียณที่แตกต่างกันส่งผลต่อเงินที่ต้องเก็บไว้ใช้ ยิ่งมีการบริโภคนิยมหลังเกษียณมากเท่าไร ก็จะต้องเก็บเงินมากขึ้นเท่านั้น
  6. ความเสี่ยงค่าใช้จ่ายสุขภาพหลังเกษียณ: ปัญหาด้านสุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น ยิ่งเกิดเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลจะยิ่งแพงขึ้น เราจึงควรมีการเก็บเงินไว้ให้เยอะที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอาการเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต